ใคร ๆ ก็รู้จักการร้อยไหม ที่เป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยมเพื่อลดริ้วรอยต่าง ๆ รวมถึงเห็นผลชัดเจน ซึ่งร้อยไหมคอลลาเจนก็เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่คนหันมาสนใจกันมากขึ้น ไม่ว่าจะช่วยผลลัพธ์ที่ช่วยให้หน้าดูเด็กลง ลดริ้วรอยได้ค่อนข้างเร็ว ไปจนถึงการที่มีคลินิคให้บริการในด้านนี้กันไม่น้อย วันนี้เราจะไปดูกันว่า ทำไมหัตถการนี้ถึงกลายเป็นที่นิยม แถมยังมีชื่อเรียกหลายแบบอีกด้วย
แม้ว่าร้อยไหมคอลลาเจน มักจะถูกเรียกว่า ไหมก้างปลา แต่ความจริงแล้ว ไหมคอลลาเจนคือ ไหมเรียบหรือไหม Mono ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวออกมา ซึ่งจะมีหน้าที่คล้ายกับฟิลเลอร์นั่นเอง เพราะมันจะเข้าไปกระตุ้นให้ผิวฟูขึ้น กระชับมากขึ้น และเติมกรอบหน้าให้เต็มมากขึ้นได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีผลกับคนที่มีหลุมสิวตื้นและไม่ลึกมาก เนื่องจากมีผิวฟูและเรียบขึ้นกว่าเดิม
โดยทั่วไปแล้ว ไหมคอลลาเจนจะช่วยให้หน้าดูอิ่มฟูขึ้น และเหมาะกับการยกกระชับบางส่วนบนใบหน้า
1. บวมช้ำน้อย เป็นหนึ่งในหัตถการที่ทำแล้วสามารถใช้ชีวิตต่อได้ทันทีแบบไม่ต้องพักฟื้น และยังมีแผลเล็กเพียงแค่รอยเข็มเท่านั้น
2. ไหมประเภทสามารถสลายได้เอง มีความปลอดภัยสูง
3. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเห็นผลในระยะยาว
4. ไม่มีข้อจำกัดในเคสที่มีอายุเยอะ
5. หน้ากระชับขึ้น ดูเด็กลงและริ้วรอยตื้นลงอย่างชัดเจน
6. เจ็บน้อย เนื่องจากไหมมีขนาดเล็ก
แม้ว่าการร้อยไหมประเภทนี้จะมีความปลอดภัยสูง แต่ยังมีข้อพิจารณาอยู่ อย่างเช่น
1. การยกกระชับที่เห็นผลได้น้อย ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวหย่อนคล้อยมากๆ ซึ่งอาจต้องใช้หัตถการอื่นแทน
2. การบวมช้ำตามรอย ซึ่งขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ แต่มักจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
3. เนื่องจากไหมจะสลายไปตามเวลา ทำให้ผลลัพธ์อยู่กับร่างกายได้เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
4. ไม่ควรใช้การร้อยไหมคอลลาเจน แทนการเติมฟิลเลอร์ เพราะอาจจะเกิดปัญหาพังผืดได้
5. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคผิวหนัง หรือการติดเชื้อในบริเวณที่ต้องการร้อยไหม
6. ผู้ที่มีประวัติแพ้การร้อยไหมมาก่อน
7. ผู้ที่มีครรภ์หรือกำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตร
8. คนที่มีโรคเลือด หรือมีปัญหาการแข็งตัวของเลือด ซึ่งต้องทำงานปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
9. หากทำหัตถการโดยแพทย์ที่ไม่ชำนาญ อาจเกิดปัญหาไหมผิดตำแหน่ง หรือไม่สมมาตรได้
ตามปกติแล้ว ไหมคอลลาเจน จะโดยเฉลี่ยอาจเริ่มต้นได้ตั้งแต่ 200–500 บาทต่อเส้น หรือแพคเกจ 2,990–5,000 บาทต่อ 20 เส้น ขึ้นอยู่กับคลินิกและความเชี่ยวชาญของแพทย์ ไปจนถึงราคาสามารถแตกต่างกันตามบริเวณที่ต้องการร้อย เช่น หน้าผาก แก้ม หรือรอบดวงตา ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทั้งค่าปรึกษา ค่ายาชา หรือการดูแลหลังทำหัตถการ จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาปลอดภัยและคุ้มค่ามากที่สุด
1. ปรึกษาแพทย์: การเตรียมตัวก่อนทำหัตถการจำเป็นจะต้องฟังคำแนะนำจากแพทย์ อย่างเช่น การห้ามใช้ยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้าอย่าง ยาละลายลิ่มเลือด, แอสไพริน, วิตามิน E, โสม และ น้ำมันปลา อย่างน้อย 5–7 วัน
2. การใช้ยาชา: ตามปกติจะมีการทายาชาบริเวณใบหน้าเพื่อลดอาการเจ็บของคนไข้ในระหว่างการร้อยไหม
3. การร้อยไหม: ทางแพทย์จะใช้เข็มลอดไหมคอลลาเจนเข้าไปที่ชั้นใต้ผิวหนังตรงบริเวณที่ลูกค้ามีความกังวล และจะสอดไปตามทิศทางของผิวเพื่อยกกระชับขึ้น
4. หลังจากร้อยไหม: เมื่อทำการร้อยไหมเสร็จแล้ว ลูกค้าก็จะได้รับคำแนะนำในการดูแลผิว อย่างการประคบเย็น การเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีแรงๆ หรือรับประทานยาลดบวมตามใบสั่งของแพทย์นั่นเอง
จะเห็นได้ว่า การร้อยไหมคอลลาเจนมีข้อดีอยู่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างหรืออยากให้หน้าดูอิ่มเต็มมากขึ้น จนทำให้การร้อยไหมในลักษณะนี้ได้รับความนิยมขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์หรือคลินิคที่เชี่ยวชาญในการหัตถการนี้ ซึ่ง Mona Clinic ก็มีบริการที่ได้รับมาตรฐานเกาหลี โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและราคาที่เข้าถึงได้อีกด้วย