หลายคนอาจจะกำลังมีปัญหาเรื่องผิวหย่อนคล้อยที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น ซึ่งโชคดีที่ยังมีวิธีแก้ปัญหากวนใจนี้อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงผิว หรือจะเป็นการเลือกทำหัตถการที่เห็นผลเร็วและสามารถทำได้ง่ายๆ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและงบในประเป๋า
หนึ่งในวิธีที่หลายคนรู้จักกันดีก็คือ การร้อยไหม PDO นั่นเอง แต่อาจจะยังไม่รู้ถึงข้อดี ข้อพิจารณา ไปจนถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งวันนี้เราจะไปดูกันว่า ทำไมร้อยไหม PDO ถึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ
การร้อยไหม PDO คือ การใช้ไหมละลาย Polydioxanone ที่เคยถูกใช้ในการเย็บแผลทางการแพทย์มาตั้งแต่ปี 1980 ก่อนที่จะมีการนำมาใช้ในคลินิคเสริมความงามในเวลาต่อมา ซึ่งในยุคปัจจุบันได้มีการนำมาใช้เพื่อสอดเข้าไปในชั้นผิวเพื่อยกกระชับผิวให้ตึงขึ้น เสริมคอลลาเจน ไปจนถึงเนื้อเยื่อใหม่ในบริเวณที่ทำ โดยไหมชนิดนี้สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติและไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างในร่างกายอีกด้วย
ส่วนคุณสมบัติของไหม PDO ก็คือ การสลายได้เองผ่านการย่อนเอนไซม์และสามารถนำออกจากร่างกายผ่านระบบการขับถ่ายตามปกติ โดยลักษณะของไหมจะเป็นเส้นสีน้ำเงิน มีความยืดหยุ่นปานกลางและนิ่ม ซึ่งช่วยให้ไม่รู้สึกระคายเคืองในระหว่างการร้อยไหม นอกจากนี้ยังมีผลลัพธ์ได้นานสูงสุดถึง 1 ปีขึ้นอยู่กับระบบร่างกายว่า สามารถกระตุ้นคอลลาเจนออกมาได้มากน้อยแค่ไหน แม้ว่าในเคสส่วนใหญ่ ไหมจะละลายออกภายในช่วง 6 เดือนก็ตาม
มาที่การทำงานของไหม PDO กันบ้าง ซึ่งจุดเด่นของไหมชนิดนี้คือ การยกกระชับทันที เพราะทำหน้าที่เป็นโครงสรา้งช่วยพยุงและดึงผิวที่หย่อนคล้อย เช่นเดียวกับกระตุ้นคอลลาเจนจากกระบวนการซ่อมแซมของร่างกายเมื่อมีไหมอยู่ใต้ชั้นผิว นอกจากนี้แม้ไหมจะละลายไปแล้ว แต่ผิวก็ยังดูดีจากคอลลาเจนที่สร้างขึ้นมาใหม่นั่นเอง
ตามปกติแล้ว ไหมจะมีการทำมาจากวัสดุที่แตกต่างกันอยู่ 3 แบบคือ PDO, PCL และ PLLA ซึ่งทั้งหมดได้รับการรับรองจาก อย. ในประเทศไทยและสามารถนำมาใช้ทางการแพทย์ได้ แต่ความแตกต่างของไหมแต่ละประเภท มีอะไรกันบ้าง ไปดูกันได้เลย
แม้ว่า ไหม PDO จะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่ปัจจุบันมีการแแบ่งลักษณะรูปทรงของไหม PDO ออกมา 3 แบบด้วยกัน
เป็นไหมคอลลาเจน เส้นตรงยาว ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนออกมา โดยช่วยในการเติมเต็มผิวคล้ายกับการฉีดฟิลเลอร์ แม้ว่าปัจจุบันจะไม่เป็นที่นิยม เพราะอาจทำให้เกิดพังผืดได้
หลายคนอาจจะรู้จักในฐานะร้อยไหมก้างปลา ซึ่งเป็นไหมละลายที่มีเงี่ยงออกมาจากเส้นไหมนั่นเอง โดยมีคุณสมบัติช่วยในการยกกระชับผิวที่ดีกว่า ไปจนถึงการดึงยกแก้มที่หย่อนคล้อย และปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น ซึ่งสามารถเห็นผลได้ภายในหนึ่งเดือนเลยทีเดียว
เรียกว่าเป็นไหม PDO ที่ใช้ 2 เส้นมาพันกันเป็นเกลียว ก่อนจะสอดเข้าไปในใต้ชั้นผิว เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของเส้นไหม และใช้เติมผิวที่ยุบหรือเป็นร่อง ช่วยปรับรูปหน้าและลดริ้วรอยได้ดี
ตามปกติแล้ว การร้อยไหมแบบ PDO สามารถเห็นผลได้เลยทันที แต่อาการบวมจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป 14 วันหลังจากทำหัตถการ แต่ผลลัพธ์อาจขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน ซึ่งทางแพทย์จำเป็นต้องตรวจประเมินสภาพปัญหาบนใบหน้าของลูกค้าก่อน หรืออาจจะต้องใช้หัตถการอื่น ๆ ร่วมอยู่ ขึ้นอยู่กับแต่ละเคสนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การร้อยไหมเป็นหนึ่งในหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง เมื่อได้ทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และคลินิคที่มีมาตรฐาน ก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้นเช่นกัน
1. ลดการหย่อนคล้อยได้ดี
2. ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นเมื่อผ่านไป 4 สัปดาห์
3. ช่วยประคองผิวและเส้นเอ็นบนใบหน้า
4. มีความปลอดภัยสูง
5. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้ดี
6. เห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังทำ
7. ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลาพักฟื้นน้อย
1. ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อวางไหมให้ถูกชั้นผิว
2. หลังจากทำหัตถการอาจมีรอยช้ำ บวม ตึงเล้กน้อย แต่สามารถหายเองได้ภายในไม่กี่วัน
3. ควรเลี่ยงการนวดแรง ๆ หรือทำหัตถการอื่นที่กระทบต่อผิวในช่วงแรก
จะเห็นแล้วว่า การร้อยไหม PDO เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องผิวหย่อนคล้อยและต้องการตัวช่วยที่เห็นผลทันที รวมถึงมีความปลอดภัยสูง ซึ่งการร้อยไหมยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ดีอีกด้วย โดยคนที่สนใจและกำลังมองหาคลีนิคที่ได้มาตรฐานในระดับเดียวกับประเทศเกาหลีใต้ก็สามารถเข้ามาปรึกษากับที่ Mona Clinic ที่มีทั้งแพทย์ที่มีประสบการณ์และบริการที่เอาใจใส่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละคนเลยนั่นเอง